หอการค้าจังหวัดอ่างทอง จับมือ YEC อ่างทอง ภาคีเครือข่าย
สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยวเมืองรอง
จัดทริปเปิดโครงการ “One Day Full Wonder – อ่างทอง”
หอการค้าจังหวัดอ่างทอง ร่วมกับ กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC อ่างทอง พันธมิตรจากภาคเอกชน และ บริษัท 3บาร์ เอเจนซี่ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยวเมืองรอง จัดทริปเปิดโครงการ “One Day Full Wonder – อ่างทอง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดอ่างทอง ยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัด และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้แนวคิด “หนึ่งวัน เปลี่ยนมุมมองทั้งเมือง” ผ่านกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น
การจัดทริป “One Day Full Wonder – อ่างทอง” ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายทัศนัย สุธาพจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เป็นประธานเปิดทริปโครงการ “One Day Full Wonder – อ่างทอง” อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย นายวิมล วงษ์หิรัญ ประธานหอการค้าจังหวัดอ่างทอง และคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดอ่างทอง หัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC และพันธมิตรจากภาคเอกชน รวมทั้งมีสมาคมท่องเที่ยวต่างๆ หลายสมาคม อาทิ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) โดยการนำของ ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ นายก สธทท., สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) นำโดย นายสัญญาพุฒิ เกิดบัณฑิต อุปนายก สทน. ตัวแทนนายชัยพฤกษ์ ทองคำ นายก สทน. สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) ตัวแทนนายวิทวัส เมฆสุต นายก สนท. สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)ฯลฯ ที่นำสมาชิกผู้ประกอบการท่องเที่ยว เข้าร่วมทริปจำนวนมาก เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568
นายทัศนัย สุธาพจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง กล่าวในพิธีเปิดว่า “อ่างทองเป็นจังหวัดเล็กที่เปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งในด้านวัฒนธรรม ศิลปะ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการนี้จะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างยั่งยืน” และ ยังได้ร่วมเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดอ่างทองตามเส้นทางของโครงการ
เริ่มจาก "วัดป่าโมกวรวิหาร" ตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก เป็นวัดเก่าแก่สมัยสุโขทัย เพื่อกราบสักการะบูชาพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปิดทอง ที่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22.58 เมตร มีประวัติความเป็นมาน่าอัศจรรย์ที่เล่าขานว่า ได้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัดราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และยังมีตำนานเล่าขานว่าเป็น "พระพุทธรูปพูดได้" โดยการจารึกของพระครูปาโมกข์มุนี เจ้าอาวาสวัดป่าโมก ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ที่สร้างในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย วิหารก่ออิฐถือปูนเครื่องบนไม้หลังคา ฐานอ่อนโค้งสำเภา และวิหารเขียน ที่เล่าขานกันผนังวิหารด้านที่หันออกสู่แม่น้ำมีแท่นสูง ซึ่งเป็นแท่นที่พระมหากษัตริย์มาประทับยืน มีมณฑปพระพุทธบาท 4 รอย หอไตร และศาลเจ้าแม่ช่อมะขาม
สักการะขอพรเป็นสิริมงคลจากพระนอนองค์ใหญ่แล้ว คณะก็เดินทางต่อไปเยี่ยมชม "หมู่บ้านทำกลองเอกราช" ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก หนึ่งในสถานที่อันทรงคุณค่าคู่ชาวไทยมาอย่างช้านาน เป็นหมู่บ้านที่มีการอนุรักษ์การผลิตกลองแบบไทยที่มีชื่อเสียงและดีที่สุดในประเทศไทย ซึ่งชาวบ้านได้ริเริ่มการผลิตกลองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 โดยไม้ที่ใช้ผลิตกลองคือไม้ฉำฉา เพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่สามารถขุดเนื้อไม้ได้ง่าย และหนังวัว ที่ใช้สำหรับการขึงทำหน้ากลอง โดยมีวิทยากรท้องถิ่น เป็นผู้บรรรยาย ที่นี่เราจะได้เรียนรู้วิธีการทำกลองตั้งแต่เริ่มกลึงท่อนไม้ ไปจนถึงขั้นตอนการขึ้นกลอง การฝังหมุด โดยกลองที่ผลิตขึ้นจะมีหลายประเภทตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เช่น กลองทัด กลองยาว กลองสั้น กลองรำวง และกลองเพล ฯลฯ ไปจนถึงกลองขนาดเล็กๆ กลองขนาดกะทัดรัดที่ผลิตขึ้นเป็นของที่ระลึก ภายในบริเวณหมู่บ้านยังมีกลองขนาดใหญ่มหึมา ที่ถือว่าเป็น "กลองยาวที่ยาวที่สุดในโลก" ตั้งอยู่หน้าบ้านของกำนันหงส์ฟ้า หยดย้อย ผู้ที่สร้างกลองนี้ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2537 ใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปีเต็ม มีขนาดหน้ากลองกว้าง 36 นิ้ว 92 เซนติเมตร ยาว 7.6 เมตร ผลิตจากไม้จามจุรีต่อกัน 6 ท่อน กลองใบนี้ถือได้ว่า เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านทำกลองตำบลเอกราช
ได้ความรู้ในการทำกลองและชมกลองยาวที่ยาวที่สุดในโลกแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารกลางวัน ที่ "ร้านเรือนรับขวัญ" ร้านอาหารไทยโบราณ ในระดับลักซูรี่ ใจกลางเมืองวิเศษชัยชาญ เป็นร้านอาหารที่สืบสานวิถีแห่งอาหารในรูปแบบอาหารไทยโบราณ ในบรรยากาศความเป็นไทย กับงานสถาปัตยกรรมของการตกแต่งร้านเป็นเรือนไทยอันทรงคุณค่าและความงดงามอย่างไทย ลิ้มรสชาติอาหารไทยพื้นถิ่นแท้ ที่มีการใส่ใจเรื่องวัตถุดิบในเกรดพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็น หมูโสร่ง หมูหมักสูตรเฉพาะ พันด้วยเส้นหมี่ซั่ว, เมี่ยงคำจากมะพร้าวจากสวน ทานคู่กับใบชะพลู และเครื่องเคียงต่างๆ อร่อยถูกใจ, รัญจวนเนื้อ อีกหนึ่งอัตลักษณ์ ด้วยสูตรน้ำพริก พร้อมปรุงรสสูตรพิเศษ ตามแบบฉบับของความเป็นไทย, กุ้งแม่น้ำเผา กุ้งแม่น้ำที่รับซื้อจากชาวบ้าน สดใหม่, กะทิปลาทูสายบัว ต้มกะทิแบบไทย พร้อมสายบัวที่ได้จากท้องถิ่น รสกลมกล่อม และ แกงระแวงหมูใบชะพลู ด้วยพริกแกงเขียวหวานสูตรเฉพาะ เป็นการผสมผสานบนความแตกต่างด้วยพริกแกงเขียวหวานกับขมิ้น ให้ความสวยงามด้วยความเหลืองทอง อร่อยจับใจ
หลังอิ่มอร่อยกับอาหารไทยแท้ๆ ก็เดินทางไป "วัดม่วง" ตำบลหัวสะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ เพื่อกราบสักการะ "พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" หรือ "หลวงพ่อใหญ่" เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ (เกษม อาจารสุโภ) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ก่อสร้างจากคานคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ก่ออิฐถือปูนฉาบทาสีทองตลอดทั้งองค์ มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร เทียบเท่ากับตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตัก 63.05 เมตร โดยพระครูวิบูลอาจารคุณนั้นได้ถึงแก่มรณกรรมไปเสียก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จ แต่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า "พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" เพื่อเป็นการอุทิศแด่ "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" ในส่วนของโบสถ์วัดม่วง ก็มีความงดงามใหญ่โตเพราะจะมีความสวยแปลกตา ด้วยการทำกลีบบัวปูนปั้นล้อมรอบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในโบสถ์จะมีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า ส่วนบริเวณรอบๆ วัด ก็จะมีปูนปั้นพระอรหันต์ เทพเจ้าต่างๆ ของจีนหรือพราหมณ์ ที่สำคัญยังมีการจำลองเมืองนรกสวรรค์ เพื่อสอดแทรกคติสอนใจ และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของค่ายบางระจัน ให้ได้ชมอีกด้วย
ขอพรพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ก็เดินทางไป "วัดต้นสน" ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมืองอ่างทอง เพื่อกราบสักการะ "สมเด็จพระพุทธนวโลกุตร ธัมมบดีศรีเมืองทอง” หรือเรียกสั้นๆ ว่า "สมเด็จพระศรีเมืองทอง" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอ่างทอง ประดิษฐานในพระอุโบสถ สร้างโดยพระราชสุวรรณโมลี อดีตเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลืองปิดทองคำแท้ทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 6 วา 3 ศอก 9 นิ้ว สูง 9 วา 2 ศอก 19 นิ้ว บริเวณด้านล่างมีพระพุทธรูป และรูปเหมือนของพระเกจิชื่อดังหลายองค์ ที่นี้เราสามารถเขียนแผ่นทองอธิฐานใส่ไปในฐานของพระศรีเมืองทอง นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถศิลปะอยุธยา ประดิษฐานหลวงพ่อดำพระพุทธรูปศิลปะอยุธยาอายุกว่าร้อยปี และวิหารพระพุทธชินราช ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ส่วนกลางแจ้งประดิษฐาน "สมเด็จพระศรีเมืองทองเงิน" พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่
ต่อด้วยการสัมผัสบรรยากาศวัฒนธรรมจีนอันเข้มขลัง ณ "ศาลเจ้าคู่บ้านคู่เมืองอ่างทอง โดยมีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อประมาณ 100 ปีกว่า เมื่อครั้งที่ชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาติดต่อค้าขายในเมืองอ่างทอง และได้อัญเชิญเทพเจ้ากวนอูซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะแกะสลักด้วยไม้จันทร์หอมลงเรือมาจากแผ่นดินใหญ่ พอถึงเมืองอ่างทองสมัยนั้นก็จอดเรืออยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และต่อมาได้สร้างศาลเจ้าไม้เพื่อสถิตเทพเจ้ากวนอู แล้วต่อมาปรากฏว่ามีเทพเจ้ากวนอูแกะสลักด้วยไม้ลอยน้ำมาติดอยู่หน้าศาลเจ้า จึงได้อัญเชิญขึ้นสถิตในศาลเจ้าเช่นกัน ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ ตัวศาลเจ้าแห่งนี้ก็เลยต้องย้ายศาลเจ้ามาสร้างขึ้นใหม่ในเขตเทศบาลเมืองอ่างทอง เทพเจ้ากวนอูถือว่าเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ต่อคุณแผ่นดิน ชาวจีนเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่เป็นมงคล เมื่อได้บูชาแล้วประกอบกิจการค้าหรือทำธุรกิจต่างๆ จะเจริญรุ่งเรือง ภายในศาลเจ้ายังเป็นที่สถิตเทพเจ้าต่างๆ อีกหลายองค์ เช่น เทพเจ้าปึงเถากง ไท้ส่วยเอี๊ยะ เล้งบ่วยเอี๊ยะ และพญามังกร ไปขอพรกันได้นะครับ
ปิดทริปอย่างประทับใจด้วยการสัมผัสความยิ่งใหญ่ พักผ่อนคลาย และเช็คอินถ่ายภาพ ณ "ลานอิสรภาพ 109" จุดเช็คอินแห่งใหม่ตำบลสายทอง อำเภอป่าโมก แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 โดย ตัวเลข 109 หมายถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ที่สะกดสายตาทุกสายตาให้หยุดมอง นั่นคือ รูปหล่อสำริดสีดำขอสมเด็จพระนเรศวรมหาราชใน 3 อิริยาบถ ได้แก่ พระอิริยาบถทรงยืนหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) เพื่อประกาศอิสรภาพจากพม่า สูง 109 เมตร พระอิริยาบถทรงแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง สูง 15.40 เมตร และพระอิริยาบถทรงพระแสงของ้าวกระทำยุทธหัตถี สูง 15.40 เมตร มองดูแล้วน่าเกรงขามทุกอิริยาบถ และยังมีรูปหล่อของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงฉลองพระองค์ในชุดปฎิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ทำให้ทุกคนแอบน้ำตาไหล รู้สึกคิดถึงท่านขึ้นมาทันที ที่บริเวณลานกางแจ้งยังมีรูปหล่อของสมเด็จพระนเรศวร พระสุพรรณกัลยา รูปหล่อสำริดองค์พระพิฆเนศที่มีความงดงาม รวมถึงรูปหล่อองค์เทพและพญานาค มองแล้วรู้สึกได้ถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีหอพระพุทธรูป อาคารอเนกประสงค์ สวนประติมากรรม และพิพิธภัณฑ์ที่แสดงผลงานศิลปะ สัมผัสพื้นที่ศิลปะร่วมสมัย ที่รวมงานครีเอทีฟต่างๆ รูปหล่อต่างๆ อาทิ สมเด็จพระนเรศวร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรรัชกาลที่ 9 ที่มีความงดงามเหมือนมีชีวิต ในบรรยากาศสบายๆ ที่นี่ไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่า และการได้มาเที่ยวชมที่นี่จะทำได้เข้าใจถึงความเสียสละของบรรพบุรุษไทยที่ปกป้องแผ่นดิน ได้ซึมซับความรักชาติ และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
โครงการ One Day Full Wonder – อ่างทอง เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถจองทริปได้ผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมแพ็กเกจราคาพิเศษ เริ่มวันที่ 19 สิงหาคม – ธันวาคม 2568 โดยมีโปรแกรม One Day Trip ให้เลือกถึง 4 เส้นทาง ได้แก่
- Ang Thong: A Magical Touch (อ่างทอง มนต์มงคล สัมผัสแห่งปาฏิหาริย์)
- Ang Thong: The Hidden Grace (อ่างทอง...เส้นทางแห่งความงดงามที่ล้ำค่า)
- Ang Thong: The Living Legend (อ่างทอง…เรื่องเล่าไม่รู้จบ)
-Ang Thong: Soulful Journey (อ่างทอง...ทริปนี้มีรัก)
สามารถติดตามรายละเอียดได้ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ ดังนี้คือ
Facebook: หอการค้าจังหวัดอ่างทอง
Instagram: @angthongchamberofcommerc
Tiktok: @angthongchamber
YouTube: หอการค้าจังหวัดอ่างทอง
Line Official: @แวะอ่างทอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น