วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สืบสวนยี่ขัน โชว์ฟร์อมจับคนร้ายชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย

สืบสวนยี่ขัน โชว์ฟร์อมจับคนร้ายชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย


       พ.ต.อ.พายัพ สมบูรณ์ ผกก.ฯ ,พ.ต.ท.ชาคร เปรมฤดีเลิศ รองผกก.สส.ฯ, พ.ต.ท.สมศักดิ์ เกิดแสง รองผกก.ป.ฯ ,พ.ต.ท.มังกร พันธุระศรี สว.สส.ฯ, ร.ต.อ.ขวันจ์ชัย บัวพันธุ์ รองสว.(สส.), ร.ต.ต.สุภาพ ลูกเสือ รองสว.(สส.) พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน และฝ่ายปราบปรามฯ ร่วมกันจับกุมตัว 1. นายพงษ์พัฒน์ หรือเต้ย พิงพิณ อายุ 23 ปี ที่อยู่ 56/1 หมู่ที่ 3 ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ 2. นายสมใจ หรือแป๊ะ แต้มสมบูรณ์ อายุ 29 ปี ที่อยู่ 49/1 ถนนสมเด็จพระปลิ่นเกล้า แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ



        โดยเมื่อวันที่ 28 เดือน  ก.พ.2567 เวลา 22.55 น. เวลาดังกล่าว ขณะที่ผู้เสียหายเดินอยู่ที่ป้ายรถประจำทางปาก ซอยอรุณอัมรินทร์ 28 แขวงอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย กทม. ได้มีชาย 2 คน เดินทางมา เข้ามาทำทีขอ เงินจากผู้เสียหาย นายศุภกฤช(สงวนนามสกุล) แล้วผู้เสียหายบอกว่าไม่มี คนร้ายจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ แล้วได้ชิงเอาโทรศัพย์มือถือของผู้เสียหายไป จำนวน 2 เครื่อง แล้ววิ่งหลบหนีสวนทางกับสายตรวจบางยี่ขัน  สายตรวจจึงติดตามและประสานฝ่ายสืบสวนไล่ล่าคนร้าย จนสามารถจับกุมตัวได้บริเวณกลางซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซ.9 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ จึงนำตัวผู้ก่อเหตุนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป

      ส่วนผู้บาดเจ็บ ทางเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.บางยี่ขัน ประสานรถกู้ชีพ นำผู้บาดเจ็บ ส่ง รพ.ศิริราช

พ.ต.อ.พายัพ สมบูรณ์ ผกก.สน.บางยี่ขัน โทร 0953699888

พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พ.ต.ต.ศุภชัย แพ่งเมือง โทร06-5449-2453

***ภาพข่าวฝ่ายสืบสวน สน. บางยี่ขัน***

"มูลนิธิโครงการหลวง" ร่วมกับ "โลตัส" ต่อยอดโครงการหลวง "เลอตอสู่โลตัส" ปี 2

"มูลนิธิโครงการหลวง" ร่วมกับ "โลตัส" ต่อยอดโครงการหลวง "เลอตอสู่โลตัส" ปี 2

คัดสรรสินค้าคุณภาพสูง จากยอดดอยสู่ใจกลางเมือง

 
      พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เลขาธิการ และประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน โครงการหลวง "เลอตอสู่โลตัส" ปีที่ 2 โดยมีนายมนต์ชัย อินทรพรอุดม ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานปฏิบัติการธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต โลตัส  พร้อมคณะผู้บริหารร่วมเปิดงานด้วย ณ โลตัส รามอินทรา เมื่อวันก่อน 27 กุมภาพันธ์ 2567


       โลตัส ร่วมมือกับ มูลนิธิโครงการหลวง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 29 เดินหน้าต่อยอดโครงการหลวง "เลอตอสูโลตัส" ปีที่ 2 จากยอดดอย สู่ใจกลางเมือง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเขา และสุขภาพที่ดีของชาวเรา ขยายการรับซื้อผลิตผลจาก "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ" จังหวัดตาก ช่วยสนับสนุนการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรชาวเขา และผู้บริโภคได้เข้าถึงอาหารคุณภาพสูงปลอดภัยได้มาตรฐานในราคาที่เอื้อมถึง ในงานมหกรรมสินค้าโครงการหลวง "เลอตอสู่โลตัส" ปีที่ 2 ที่ โลตัส รามอินทรา ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 11 มีนาคม 2567 พร้อมจัดบูธจำหน่ายสินค้าโครงการหลวงในโลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ตกว่า 78 สาขาทั่วประเทศ


           มูลนิธิโครงการหลวงมีเป้าหมายการดำเนินงานตามแนวทางโครงการหลวงโมเดล ที่มุ่งมั่นพัฒนาทุกมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสนับสนุนให้เกษตรกรชาวเขามีรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการส่งเสริมให้ปลูกพืชผักและผลไม้ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับผู้บริโภค สอดคล้องพันธ์กิจร่วมกันระหว่างโครงการหลวงและโลตัส ที่มุ่งส่งเสริมเกษตรกรชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน


            นายมนต์ชัย อินทรพรอุดม ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานปฏิบัติการธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต โลตัส กล่าวว่า โลตัส ดำเนินธุรกิจอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน คำนึงถึงการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึง สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเติบโตไปได้พร้อมกัน


             ทั้งนี้ โลตัสได้ร่วมมือกับมูลนิธิโครงการหลวงมาต่อเนื่องกว่า 29 ปี พร้อมมีโอกาสเข้าไปสนับสนุนและทำงานร่วมกับ "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ" ในพื้นที่ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก เพื่อร่วมส่งเสริม สนับสนุน วางแผน รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร และพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนและเกษตรกรที่ดีขึ้น ภายใต้โครงการ "เลอตอสู่โลตัส เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเขา เพื่อสุขภาพที่ดีของชาวเรา" ซึ่งปีนี้ได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยโลตัสได้เพิ่มการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพจากโครงการหลวงผ่านสาขากว่า 78 สาขา และช่องทางออนไลน์ พร้อมมีแผนเพิ่มการรับซื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรชาวเขาในเครือข่ายของโครงการหลวง ตามความมุ่งมั่นของโลตัสในการเป็นแพลทฟอร์มแห่งโอกาสของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยให้มีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมกับสนับสนุนการมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของลูกค้า ผ่านการเข้าถึงผักและผลไม้สดคุณภาพสูง ปลอดภัยได้มาตรฐานในราคาที่เอื้อมถึง

           
           ในปีนี้ โลตัสได้ร่วมมือกับมูลนิธิโครงการหลวง นำผลิตภัณฑ์คุณภาพจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ และโครงการหลวงในพื้นที่อื่นๆ จัดมหกรรมสินค้าจากโครงการหลวง "เลอตอสู่โลตัส" ปีที่ 2 ที่โลตัส รามอินทรา ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาฬนธ์ - 11 มีนาคม 2567
พร้อมคัดสรรสินค้าคุณภาพหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ ผัก ผลไม้ ดอกไม้เมืองหนาว สินค้าแปรรูป เครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขภาพ พร้อมกิจกรรมพิเศษ การสาธิตเมนูอาหารด้วยวัตถุดิบจากโครงการหลวง และเคล็ดลับการทำอาหารง่ายๆ โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าโครงการหลวงได้ผ่านช่องทางโลตัสไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 78 สาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ Lotus's SMART Apps


             สินค้าไฮไลท์ที่โลตัสยกจากยอดดอยสู่ใจกลางเมือง ได้แก่
-ผักและผลไม้ อาทิ เคพกูสเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่ พันธุ์พระราชทาน 80 และ 89, เสาวรส, แบล็คเบอร์รี่, กะหล่ำปลีหัวใจ, มะเขือเทศราชินี, มะเขือเทศเนื้อ, ผักกาดหอมห่อ, ฟักทองญี่ปุ่น, กลุ่มผักสลัด, กลุ่มผักอินทรีย์ และกลุ่มเห็ดเมืองหนาว เป็นต้น


-ดอกไม้เมืองหนาว อาทิ ดอกไลชิแอนทัส ที่มีความหมายสื่อถึงมิตรภาพที่ยั่งยืนและความทรงจำดีๆ, ดอกแคลล่า ลิลลี่ หมายถึงตัวแทนแห่งความสง่างาม, ดอกเอสเตอร์ สื่อความหมายแทนความห่วงใย และดอกสตาติส ที่สื่อความหมายถึงความรักที่ไม่มีวันจืดจาง


-สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าแปรรูป และอื่นๆ อาทิ ข้าวกล้อง, ข้าวดอย, ธัญพืช, ชุดชงชา, ชาพร้อมดื่ม (Cold brew), เมล็ดกาแฟ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากผักชนิดเคี้ยว-ผงชงดื่ม "รอยัล โปรเจ็กต์ เวจจี้ พลัส"


          ทั้งนี้ โลตัสมีแผนเดินหน้าจัดมหกรรมสินค้าคุณภาพจากโครงการหลวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมเกษตรกรชาวเขาให้มีรายได้ที่ยั่งยืน ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้สังคมอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำต้นพันธกิจองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
***ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบ 500 บาทต่อ 1 ใบเสร็จ สามารถแลกรับกระเป๋าโครงการหลวง ฟรี! ที่จุดบริการลูกค้า (เฉพาะลูกค้าที่ซื้อสินค้าที่สาขา) ของแถมมีจำนวนจำกัด***

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เวียตเจ็ทเผยข้อตกลงสำคัญร่วมกับ Airbus, Rolls-Royce, Pratt & Whitney and Safran ณ งาน Singapore Airshow 2024

เวียตเจ็ทเผยข้อตกลงสำคัญร่วมกับ Airbus, Rolls-Royce, Pratt & Whitney and Safran ณ งาน Singapore Airshow 2024

      สายการบินเวียตเจ็ท (เวียดนาม) บรรลุข้อตกลงสำคัญกับพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมการบินและเทคโนโลยี ได้แก่ แอร์บัส (Airbus) โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) และ Pratt & Whitney (บริษัทหลักในเครือ RTX) และ Safran ณ งาน Singapore Airshow 2024 เพื่อการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงรองรับฝูงบินและการขยายเครือข่ายการบินเพื่อการเติบโตในอนาคต พร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน

1.เวียตเจ็ทและแอร์บัสประกาศคำสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้าง A330neo จำนวน 20 ลำ

      เวียตเจ็ทลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับแอร์บัสเพื่อสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นแอร์บัส A330neo (A330-900) จำนวน 20 ลำ คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญที่สุดในงาน Singapore Airshow 2024 นอกจากนี้ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นคำสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างที่ใหญ่ที่สุดของเวียตเจ็ท เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสายการบินในการขยายเครือข่ายเส้นทางบินและปรับปรุงฝูงบินให้ทันสมัยอยู่เสมอ

      เวียตเจ็ทจะปฏิบัติการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330neo บนเครือข่ายเส้นทางบินระยะไกลและเส้นทางบินภายในภูมิภาคที่มีผู้โดยสารเดินทางจำนวนมาก นอกจากนื้ เครื่องบินดังกล่าวจะเข้ามาเสริมทัพฝูงบินของเวียคเจ็ทแทนที่เครื่องบินแอร์บัส A330-300 เพื่อรองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางบินที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

      เครื่องบินแอร์บัส A330neo ถูกออกแบบมาพร้อมกับประสิทธิภาพขั้นสูงซึ่งสอดรับกับกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและสนับสนุนแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) ของเวียตเจ็ท สายการบินตั้งเป้าลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ทั้งนี้ สายการบินหลายรายต่างตั้งตารอให้บริการเที่ยวบินระยะไกลด้วยเครื่องบิน A330neo ลำตัวกว้างซึ่งมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อมอบบริการที่เป็นเลิศในราคาที่แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น

       เครื่องบินแอร์บัส A330neo มีห้องโดยสาร Airspace ที่ได้รับรางวัล การันตีประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายด้วยพื้นที่กว้างยิ่งขึ้นและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและทันสมัย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Trent 7000 ของโรลส์-รอยซ์สามารถบินได้ต่อเนื่องเป็นระยะทาง 7,200 นาโนเมตร/ 13,300 กม.

2. เวียตเจ็ทเลือกใช้เครื่องยนต์ Trent 7000 ของโรลส์-รอยซ์ขับเคลื่อนเครื่องบินแอร์บัส A330neo จำนวน 20 ลำ

       เวียตเจ็ทและโรลส์-รอยซ์ประกาศข้อตกลงในการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส A330neo ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Trent 7000 จำนวน 20 ลำ เข้าเสริมทัพฝูงบินลำตัวกว้างที่มีอยู่เดิมจำนวน 7 ลำ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องบิน A330ceo เครื่องยนต์ Trent 7000 ส่งเสริมความยั่งยืนด้วยการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้น 14% ต่อที่นั่ง พร้อมทั้งลดการปล่อยมลพิษทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะส่งผลให้สายการบินสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าหนึ่งแสนตันตลอดอายุการใช้งานของเครื่องบินแต่ละลำ สายการบินจึงสามารถขยายการปฎิบัติงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในอนาคต ด้วยการใช้เครื่องยนต์ Trent 7000 ขับเคลื่อนเครื่องบินแอร์บัส A330neo รุ่นใหม่ล่าสุดของเวียตเจ็ท เครื่องยนต์เหล่านี้จะเสริมให้ฝูงบินลำตัวกว้างของเวียตเจ็ทก้าวไปสู่จุดสูงสุดทางเทคโนโลยีใหม่ พร้อมปรับปรุงคุณภาพการบินอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

3. เวียตเจ็ทเลือกใช้ Pratt & Whitney บริษัทหลักในเครือ RTX เพื่อขับเคลื่อนเครื่องบิน A321neo เพิ่มเติมอีก 19 ลำ

        เวียตเจ็ทเลือกใช้เครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบ (GTF) จากบริษัท Pratt & Whitney ขับเคลื่อนเครื่องบิน A321neo จำนวน 19 ลำ เพื่อการบํารุงรักษาเครื่องยนต์ผ่านข้อตกลงการบริการที่ครอบคลุมของ EngineWise® ภายในพิธีลงนาม ณ งาน Singapore Airshow 2024 เน้นย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างเวียตเจ็ทและ Pratt & Whitney

        เวียตเจ็ตเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของ Pratt & Whitney เพื่อประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมในการขับเคลื่อนเครื่องบินด้วยเครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบ (GTF) นอกจากนี้ เวียตเจ็ทมีเป้าหมายในการใช้เครื่องยนพัดลมเทอร์โบกับเครื่องบินจำนวนทั้งหมด 87 ลำ เพื่อรองรับจำนวนฝูงบินที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์พัดลมเทอร์โบของ Pratt & Whitney จะส่งผลให้ให้เวียตเจ็ทสามารถลดอัตราเชื้อเพลิงสิ้นเปลืองและอัตราการปล่อยมลพิษสู่ปริมาณต่ำที่สุดในภูมิภาค

4. เวียตเจ็ทและ Safran ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเครื่องบินโบอิ้ง B737 MAX

       เวียตเจ็ท และ Safran AeroSystems ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการจัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเครื่องบินโบอิ้ง B737 MAX ของเวียตเจ็ท เกณฑ์การคัดเลือกประกอบด้วยส่วนประกอบด้านความปลอดภัยที่จำเป็น อาทิ แพชูชีพ อุปกรณ์ช่วยหายใจ หน้ากากออกซิเจนสำหรับลูกเรือ และเสื้อชูชีพ รวมถึงบริการด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยการมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความน่าเชื่อถือ Safran Aerosystems จึงถูกกำหนดให้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทั้งหมดของเวียตเจ็ท ข้อเสนอของ Safran Aerosystems ได้รับเลือกเนื่องด้วยนวัตกรรมและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการออกแบบอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ล้ำสมัย 

       ด้วยฝูงบินกว่า 105 ลำและจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เวียตเจ็ทกำลังขยายเครือข่ายเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางต่างๆ ทั่วเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ไทย รวมถึงจุดหมายปลายทางข้ามทวีป สายการบินมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การการเดินทางที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสารผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรด้านการบินและเทคโนโล


“สกอลล์” เปิดสโลแกนใหม่ “The Most Aesthetic Comfort Shoes” พร้อมเผยคอลเลกชันใหม่ นำทัพด้วยรองเท้าดีไซน์เก๋จากอิตาลี

“สกอลล์” เปิดสโลแกนใหม่ “The Most Aesthetic Comfort Shoes” 

รุกตลาดแฟชั่น ตอกย้ำผู้นำรองเท้าสวย ใส่สบาย 

พร้อมเผยคอลเลกชันใหม่ นำทัพด้วยรองเท้าดีไซน์เก๋จากอิตาลี

               สกอลล์ (Scholl) ผู้นำระดับโลกด้านรองเท้าสุขภาพดีไซน์สวยมากว่า 100 ปีจากอิตาลี สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้วงการแฟชั่นกับการเผยสโลแกนใหม่ “The Most Aesthetic Comfort Shoes – รองเท้าสกอลล์ สวย ใส่สบาย” ปรับลุคจากแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพสู่การเป็นแบรนด์แฟชั่นคุณภาพมาตรฐานอิตาลี ต่อยอดจากจุดแข็งในฐานะผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพรองเท้าที่ช่วยซัพพอร์ตทุกก้าวของผู้สวมใส่ที่ครองใจคนไทยมายาวนานกว่า 35 ปี พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการปรับลุคใหม่เอาใจสายแฟชั่นกับคอลเลกชันใหม่ประจำปี 2024 นำทัพด้วยรองเท้าคอลเลกชัน Italy ส่งตรงจากเมืองแฟชั่น นำเสนอดีไซน์ทันสมัยที่แมตช์ได้กับทุกลุคทุกสไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ทั้งหญิง-ชาย และดีไซน์ Genderless ที่สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนด้วยการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ สกอลล์ เผยเร่งเดินหน้าขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางการวางจำหน่ายเพื่อการเลือกซื้อรองเท้าที่สะดวกสบายของลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้สโลแกนใหม่ “The Most Aesthetic Comfort Shoes – รองเท้าสกอลล์ สวย ใส่สบาย”

           ในปี 1899 แบรนด์สกอลล์ ถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจของ ดร. วิลเลียม สกอลล์ ในการรังสรรค์รองเท้าที่แก้ปัญหาสุขภาพเท้า ลดความเมื่อยล้าระหว่างเดิน และซัพพอร์ตการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดทั้งวัน พร้อมยังออกแบบรองเท้าให้สวยงามตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ในทุกยุคทุกสมัยจนกลายเป็นแบรนด์รองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากตลาดทั่วโลกด้วยจุดแข็งด้านเทคโนโลยีพื้นรองเท้าที่ตอบโจทย์สรีระเท้าเพื่อ ความสบาย ความทนทาน และความสวยงาม โดยประเทศไทยได้เริ่มการจำหน่ายรองเท้าสกอลล์ในปี 1989 ถือเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดรองเท้าสุขภาพในเมืองไทย

          ปัจจุบัน รองเท้าสกอลล์ในประเทศไทย จัดจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1) เคาน์เตอร์รีเทลกว่า 150 สาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ 2) ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่กว่า 100 ราย 3) ช่องทางอีคอมเมิร์ซอย่างเป็นทางการ 5 ช่องทาง ได้แก่ Shopee, Lazada, TikTok Shop, Central Online และเว็บไซต์ Scholl ปัจจุบัน แบรนด์สกอลล์วางจำหน่ายอยู่กว่า 90 ประเทศทั่วโลก และในช่องทางออนไลน์

           มร. มาร์ก วาโคล์ซ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช แอนด์ เอฟ ชูส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “สกอลล์ เป็นแบรนด์รองเท้าที่บุกเบิกการนำนวัตกรรมการดูแลสุขภาพเท้ามารังสรรค์รองเท้าที่ทั้งสวยงามและใส่สบาย ในปี 2567 นี้ เราเดินหน้าขยายธุรกิจให้แบรนด์เติบโตต่อไปอย่างมั่นคง ตลาดรองเท้าในประเทศไทยถือว่ามีความคึกคักมาก แบรนด์ของเรายังคงยึดมั่นในคุณภาพควบคู่ไปกับการนำเสนอดีไซน์ทันสมัยจากประเทศอิตาลี มั่นใจว่าคอลเลกชันใหม่ล่าสุดจะถูกใจลูกค้าสกอลล์ทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจทั้งเรื่องสไตล์และสุขภาพมากขึ้น”

           คุณจิณณา อัศวเหม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช แอนด์ เอฟ ชูส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ สกอลล์ฉลองความสำเร็จในฐานะแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพดีไซน์สวยทันสมัยที่ครองใจคนไทยมายาวนานกว่า 35 ปี ที่ผ่านมาเราครองใจผู้บริโภคด้วยสโลแกน “Love Every Step” - “รักทุกก้าวเดิน” และในวันนี้ นอกจากสกอลล์อยากให้คนไทย รักการเดินด้วยรองเท้าสกอลล์แล้ว เราอยากฉลองความสำเร็จด้วยการเปิดตัวสโลแกนใหม่ ‘The Most Aesthetic Comfort Shoes รองเท้าสกอลล์ สวย ใส่สบาย’ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนควรได้สวมใส่รองเท้าที่สวยและใส่สบาย ในสไตล์ของทุกคน สกอลล์ นำเสนอรองเท้าคุณภาพสูง ภายใต้มาตรฐานวัสดุและดีไซน์จากอิตาลี ผสมผสานคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยพื้นรองเท้าทั้ง 5 เทคโนโลยี ธุรกิจของเรามีจุดแข็งที่ชัดเจน โดยเราต่อยอดจากความ‘Heritage’ ในฐานะผู้บุกเบิกด้านรองเท้าเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง พร้อมมุ่งสู่แบรนด์แฟชั่นที่มอบ ‘Aesthetic Comfort’ ความสบายที่ควบคู่ไปกับดีไซน์ สวยเก๋ แบบเข้ากับทุกลุค พร้อมดูแลซัพพอร์ตทุกก้าวด้วย ‘Technology’ เฉพาะของแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นพื้น Biomechanics, Bioprint และพื้นรองเท้าเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกิดจากความเชี่ยวชาญกว่า 100 ปีในการผลิตรองเท้าที่มีงานวิจัยมากมายรับรอง ปัจจุบัน เราเล็งเห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น แต่มักกลัวว่ารองเท้าสุขภาพจะมีดีไซน์ที่ไม่เข้ากับการใช้งาน เช่นการทำงาน หรือการเที่ยวที่สบาย ๆ เราจึงนำอินไซต์ตรงนี้ มาผสานกับเทคโนโลยีเพื่อซัพพอร์ตสรีระของเท้า บวกกับความเชี่ยวชาญด้านดีไซน์ เพื่อรังสรรค์เป็นคอลเลกชันสำหรับทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และ Unisex ที่สวยงามไม่ซ้ำใครในราคาที่คุ้มค่า รองเท้าทุกคู่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน และเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่ทนทาน สบายเท้าและรองรับทุกไลฟ์สไตล์ มั่นใจว่าคอลเลกชันพิเศษประจำปี 2024 จะตอบโจทย์คนไทยทั้งในด้านความสวยและความใส่สบายเข้ากับทุกสไตล์ เพราะในปีนี้เรานำทัพด้วยคอลเลกชันใหม่ทั้ง Italy Collection และเสริมทัพด้วย Thai Collection ที่เป็นรูปแบบใหม่ มีความเป็น Aesthetic สวยงาม แบบลงตัวมากขึ้น และยังคงเอาใจคนรักสุขภาพเท้าเหมือนเดิม ในปีนี้เราเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ลูกค้าเข้าถึงได้สะดวกขึ้น และขยายตลาดไปในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก”

        สกอลล์ ส่งคอลเลกชันใหม่ล่าสุดประจำปี 2024 พร้อมตัวเลือกสำหรับผู้ชาย ผู้หญิง และ Unisex ที่สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งในแบบรองเท้าแตะ รองเท้าลำลอง รองเท้ารัดส้นแฟชั่น และรองเท้าผ้าใบ ในดีไซน์ทันสมัยเข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัวของคนรุ่นใหม่ช่วยอัปลุคสวยมีสไตล์ และคำนึงถึงสุขภาพเท้าที่ดี รองเท้าสกอลล์พัฒนาจากเทคโนโลยีที่ซัพพอร์ต และรองรับเท้าทุกรูปทรง เพื่อผ่อนคลายจากการเดินและยืนนาน ๆ รองเท้าของเราผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง โดยพื้นรองเท้าที่มีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเด่นเรื่องความสบายของสกอลล์ อาทิ

เทคโนโลยี Biomechanics: เสริมอุ้งเท้าซึ่งจะทำให้การเดินสบายมากยิ่งขึ้น และช่วยปรับโครงสร้างเท้าให้สุขภาพเท้าดียิ่งขึ้น เหมาะกับผู้มีภาวะเท้าแบน

เทคโนโลยี Bioprint: ออกแบบเพื่อรองรับส่วนโค้งของสรีระเท้า กระจายน้ำหนัก ช่วยกระชับส้นเท้า นิ้วเท้า และฝ่าเท้าให้เดินสบายยิ่งขึ้น

เทคโนโลยี General Comfort: เบาสบาย วัสดุแข็งแรงทนทานพร้อมลุยได้ทุกสภาวะ

เทคโนโลยี Massage: พื้นที่เป็นคลื่นหรือปุ่ม เพื่อช่วยนวด ผ่อนคลายเท้า สวมใส่สบาย ลดความเมื่อยล้า

เทคโนโลยี Memory Cushion: จดจำการเดิน เพิ่มความสบาย น้ำหนักเบา รองรับแรงกระแทก

        นอกจากนี้ สกอลล์ ยังขับเคลื่อนการทำธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืน ผ่านการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและดำเนินการผลิตโดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แบรนด์ยังคงเดินหน้ารังสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพเท้า พร้อมนำเสนอดีไซน์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ในฐานะแบรนด์รองเท้าชั้นนำของโลกจากอิตาลี

สำหรับอัปเดตข่าวสารเพิ่มเติม โปรดติดตามช่องทางโซเชียลมีเดียของสกอลล์ ประเทศไทย:

เว็บไซต์: https://schollshoesthailand.com

Facebook: https://www.facebook.com/SchollShoesThailand

Instagram: https://www.instagram.com/Schollshoesthailand/

Tiktok: https://www.tiktok.com/@Schollshoesthailand

Line: https://page.line.me/schollshoes




งาน "STYLE Bangkok 2024" รวมสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และงานคราฟต์มีดีไซน์มาไว้ครบจบในที่เดียว

งาน "STYLE Bangkok 2024" 

รวมสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น 

และงานคราฟต์มีดีไซน์มาไว้ครบจบในที่เดียว

วันที่ 20-24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

    นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน "STYLE Bangkok 2024" กิจกรรมส่งเสริมการตลาดภายใต้ธีม “ChicNature” โชว์สินค้าไทยในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของชำร่วย ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและในครัว ของเล่น ผลิตภัณฑ์สปา สินค้าแฟชั่น ผ้าผืน เครื่องหนัง และวัตถุดิบใหม่ ๆ ไปจนถึงสินค้าสำหรับธุรกิจ Hospitality โรงแรม และงานโปรเจคต่างๆ โดยมุ่งเจาะตลาดผู้ซื้อจากกลุ่มตลาดศักยภาพ อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เอเชียใต้ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อาเซียน ท่ามกลางหน่วยงานพันธมิตร และสมาคมผู้ร่วมจัดงานฯ สื่อมวลชนจำนวนมากที่มาร่วมงาน โดยภายในงานจัดแสดงนิทรรศการและสินค้าไฮไลท์ รวมทั้งการโชว์ทำเครื่องดื่ม mocktails โดย “โย-ก่อเกื้อ ดีวัฒนานุกูล” บาร์เทนเดอร์รางวัลรองอันดับ 1 จาก ARCHEF Korea Competition 2022 เมืองควังจู ประเทศเกาหลีใต้ การแสดงในชื่อชุด “The Natural Wonders of Light & Shadow” โดยนำสินค้าจากบริษัทฯ ที่เข้าร่วมงาน STYLE Bangkok 2024 มาประกอบการแสดงด้วย ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 8 โรงแรม SO/Bangkok เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567


        กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ จัดงานแสดงสินค้า "STYLE Bangkok 2024" แสดงพลังซอฟต์พาวเวอร์ไทยเต็มที่ โชว์ศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs พร้อมต่อยอดความยั่งยืน รวมสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และงานคราฟต์มีดีไซน์มาไว้ครบจบในที่เดียว เป็นเวทีให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และดีไซเนอร์ไทย ได้เจรจาการค้า และสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับนักธุรกิจจากทั่วโลก ส่งเสริมการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยสู่ตลาดโลก ระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1- 4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์



        นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า “การพัฒนาสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นสร้างสรรค์
เป็นหนึ่งในแผนผลักดันสำคัญตามนโยบายส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งในมิติการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทยมีจุดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอยู่แล้วทั้งในด้านคุณภาพ งานฝีมือ ความหลากหลายของวัตถุดิบ และการออกแบบที่สอดแทรกด้วยอัตลักษณ์ไทย โดยในปี 2567 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 323,000 ล้านบาท


        นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 90 เป็น SMEs มีการจ้างงานในซัพพลายเชนถึงกว่า 2 ล้านคน กรมฯ จึงร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดงานเพื่อเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยกรมฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประทศ ทั้ง 58 แห่ง ทั่วโลก เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้า นักธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม และโปรเจคต่างๆ เข้าชมงาน รวมทั้งจัดเตรียมสินค้าไฮไลท์ที่ตรงตามความต้องการของผู้นำเข้า และผู้ซื้อทำให้ได้รับความสนใจที่จะมาเลือกซื้อสินค้าภายในงานเป็นจำนวนมาก

 

         ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งาน STYLE Bangkok 2024 เป็นงานที่ได้รวบรวมผู้ประกอบการไทยหลากหลายอุตสาหกรรม และมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ภายใต้แนวคิด Sustainability และยังมีเป้าหมายมุ่งสู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance)


        สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชื่อว่า งาน STYLE Bangkok ในครั้งนี้จะทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยได้เจรจาการค้ากับคู่ค้าสำคัญจากทั่วโลกเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทย อันจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต


         สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ช่วยสนับสนุนงาน STYLE Bangkok ให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งในการดึงเครือข่ายผู้เข้าร่วมงาน พัฒนาระบบรับสมัครเข้าร่วมงานแบบออนไลน์ การประชาสัมพันธ์งาน ไปจนถึงการสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าภายในงาน ทำให้งานคึกคัก และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักออกแบบ สตาร์ทอัพ และวิสาหกิจชุมชนจากทั่วประเทศ รวมถึงผู้ส่งออกและผู้ค้าในต่างประเทศอย่างล้นหลาม


      งาน "STYLE Bangkok" เป็นเวทีการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นแนวสร้างสรรค์ระดับนานาชาติที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเชิงรุกของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ SMEs ทุกระดับรวมถึงดีไซเนอร์ไทย ได้เจรจาการค้า และสร้างพันธมิตรกับผู้ซื้อทั่วโลก  งานที่จัดขึ้นภายใต้ธีม 'ChicNature' ในปีนี้จะครอบคลุมสินค้าหลากหลาย ทั้งไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและงานคราฟต์ที่มีดีไซน์ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ในแบบฉบับของแต่ละคน ที่สำคัญ STYLE Bangkok ยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจ และความตระหนักเพื่อพัฒนาสู่การทำธุรกิจที่ยั่งยืน


       งาน “STYLE Bangkok 2024" มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า ทั้งไทยและนานาชาติกว่า 490 บริษัท 820 คูหา และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 30,000 ราย” นายภูสิต ได้เปิดเผยอีกว่า “ไฮไลท์พิเศษของปีนี้คือ พาวิลเลียน 'ผ้าไทยใส่ให้สนุก' โดยความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการพัฒนาชุมชน ในการนำผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีศักยภาพจากโครงการ 'ผ้าไทยใส่ให้สนุก' ต่อยอดเพื่อขยายตลาดสู่สากล ซึ่งเป็นไปตามแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยสู่สากล


       นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษอื่นๆ มากมาย ทั้ง “Art Zone” “ถนนนิทรรศการ” จากโครงการพัฒนาสินค้าเชิงลึกต่าง ๆ ของกรมฯ อาทิ STYLE Bangkok Collaboration Project, Material Thai to Japan, Host & Home, DEmark-, G Mark, Designers’ Room & Talent Thai นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นโชว์จากโครงการ Qurated Fashion Incubation Project และอื่นๆ อีกมาก และเป็นครั้งแรกสำหรับงานแสดงสินค้าในเอเชีย STYLE Bangkok 2024 จะมีการนำเสนอเทคโนโลยี AR ให้ผู้ชมงานสำรวจสินค้าและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ 3 มิติ ผ่านการสแกน QR Code ได้ทั้งก่อนและหลังเข้าชมงาน เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเข้าถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์


    งาน "STYLE Bangkok 2024" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจวันพุธที่ 20 – ศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-18.00 น. และวันจำหน่ายปลีกวันเสาร์ที่ 23-อาทิตย์ที่
24 มีนาคม 2567  เวลา 10.00-21.00 น. ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
      ผู้ที่สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook/Instagram/TikTok : Style Bangkok Fair หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169


                                                                                                               
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                   

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ททท. ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง LOI กับ สมาคมคนไทยในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี เครือรัฐออสเตรเลีย

ททท. ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง LOI กับ สมาคมคนไทยในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี เครือรัฐออสเตรเลีย 

ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านมะม่วงมหาชนกที่เป็นที่นิยมในซุปเปอร์มาร์เกต Woolworth ทั่วประเทศออสเตรเลีย

       Partnership 360 ครั้งแรกกับการทำงานร่วมกับเครือข่ายคนไทยที่มีเครือข่ายกว้างขวางที่สุด ใน northern territory ของ Australia และสามารถขยายการรับรู้ในวงกว้างผ่านมิติๆ อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย

       นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนางสรามาศ ราชแก้ว ประธานสมาคมคนไทยในนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี เครือรัฐออสเตรเลีย ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) แนวทางความร่วมมือประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยโดยโปรโมทประเทศไทยผ่านมะม่วงมหาชนกที่เป็นที่นิยมในซุปเปอร์มาร์เกต Woolworth ทั่วประเทศออสเตรเลีย

และร่วมจัดงาน Amazing Thailand Grand Festival NT ที่เมืองดาร์วิน ในเดือนเมษายน 2567 นี้ โดยมุ่งเน้นการเจาะกลุ่มพื้นที่ใหม่ที่มีศักยภาพในออสเตรเลีย

      ในปี 2567 ททท. มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย จำนวน 720,000 คน มีแผนดำเนินงานเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible Tourism ที่มีพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม สนใจทำกิจกรรมท่องเที่ยว หรือการได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม พร้อมยินดีจ่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้รับบริการที่แสดงถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น


        นอกจากการส่งเสริมการตลาดทางการท่องเที่ยว ร่วมกับพันธมิตร ผู้ประกอบการ สายการบิน การลงนามLOI หนังสือแสดงเจตจำนงในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสส่งเสริมการท่องเที่ยว ร่วมกับพันธมิตรแบบ 360 (Partnership 360) ร่วมผลักดัน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ผลไม้ไทย อาหาร กิจกรรมทางการท่องเที่ยว และเทศกาลประเพณีไทยในรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งสมาคมคนไทยในต่างประเทศ มีส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของไทยได้เป็นอย่างดีที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ได้สัมผัสประสบการณ์แบบ Meaningful Relationships Experience ที่น่าประทับใจตั้งแต่ก่อนเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย


#amazingthailand #meaningful #relationships #gastronomy # tourism #partnership360

รมว.ท่องเที่ยวมอบนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวตลาดอินเดีย พร้อม ททท. ได้เสนอ 5 ประเด็นปลดล็อคตลาดอินเดีย

รมว.ท่องเที่ยวมอบนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวตลาดอินเดีย พร้อม ททท. ได้เสนอ 5 ประเด็นปลดล็อคตลาดอินเดีย

หวังเร่งผลักดันการเดินทางนักท่องเที่ยวอินเดียเติบโต 2 ล้านคน ในปี 2567

 
       นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยว แผนการดําเนินงาน และโครงการส่งเสริมตลาด นักท่องเที่ยวอินเดีย ในปี 2567 โดยมีนายโชติ ตราชู ประธานกรรมการ ททท. นางวรนุช ภู่อิ่ม กรรมการ ททท. และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วยผู้บริหาร ททท. เข้าร่วมการประชุมฯ ณ ห้อง Megu โรงแรม Leela Palace เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567


        โดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.กก. ได้มอบนโยบายและทิศทางการส่งเสริมตลาดอินเดียให้แก่ที่ประชุม ดังนี้
- ขยายวันพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวอินเดียในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
- ส่งเสริมเรื่องการจัดกิจกรรม (Event Marketing) อาทิ งานเทศกาลมหาสงกรานต์ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
- การผลักดันเรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์อินเดียในประเทศไทย
- การโปรโมทและส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรองของประเทศไทย
- กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว 365 วัน


          ทั้งนี้ ททท. ได้รายงานสถานการณ์ตลาดอินเดียภาพรวมและทิศทางที่จะขับเคลื่อนตลาดอินเดีย และนำเสนอโครงการ/กิจกรรม และกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2567  พร้อมทั้งในช่วงท้ายของการประชุม ได้กล่าวสรุปแผนงานและทิศทางการขับเคลื่อนตลาดอินเดีย โดยมีประเด็นที่ต้องการได้รับการสนับสนุนและะผลักดันให้รัฐบาลผลักดัน อาทิ
1. การต่อขยายการยกเว้นวีซ่า ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 10 พ.ค.2567
2. การขยายวีซ่านักท่องเที่ยวจาก 6 เดือนเป็น 2 ปี
3. การอํานวยความสะดวกนักท่องเที่ยวอินเดียสําหรับนักเดินทางครั้งแรก
4. การปลดล็อก seat capacity ตามข้อตกลงการบินระหว่างประเทศไทย-อินเดีย
5. การพิจารณาอนุมัติเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินจากสายการบินแอร์อินเดีย เส้นทางจากมุมไบ-กรุงเทพฯ จากวันละหนึ่งเที่ยวบินเป็นสองเที่ยวบินต่อวัน


           โดย ททท. คาดว่าหากมีการปลดล๊อค 5 ประเด็นเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทยถึงจำนวน 2 ล้านคนในปี 2567


           ทั้งนี้ ตลาดอินเดียนับว่าเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญและเป็นโอกาสที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งทางด้านจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก (1.437 พันล้านคน) อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโตสูงถึงร้อยละ 7.3 จำนวนประชากรอินเดียที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นและมีจำนวนเกือบ 2 หมื่นราย การเติบโตของอุสาหกรรมการบินอินเดียมีแนวโน้มจะเป็นหนึ่งในตลาดธุรกิจการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือแม้กระทั่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดียที่จะขยับขึ้นเป็นลำดับที่ 3 ของโลกในปี พ.ศ.2570



            หลังจากการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยว แผนการดําเนินงาน และโครงการส่งเสริมตลาด นักท่องเที่ยวอินเดีย ในปี 2567 แล้ว ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม Amazing Thailand Executive Luncheon โดยมี รัฐมนตรีปุ๋ง เป็นประธาน ทั้งนี้ได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนำเที่ยวอินเดียรายใหญ่เข้าร่วม ประกอบด้วย Mr. K.D. Singh Founder and President of TravelBullz, Mr. Dhruv Shringi Co-Founder & CEO Yatra.com, Mr. Rajesh Magow Founder & CEO MakeMyTrip.com และ Mrs. Nutan Gupta COO EaseMyTrip.com



          ในการพบปะกันในครั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างผู้บริหารระดับสูงในการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย-อินเดีย เเละกระชับความสัมพันธ์กับ Key players ในพื้นที่ตลาด เพื่อบูรณาการการดำเนินกิจกรรมการตลาดอินเดียในอนาคต โดยมีข้อคิดเห็นที่สำคัญจากผู้บริหารบริษัทนำเที่ยวอินเดีย ดังนี้




1. หากสามารถปลดล็อคข้อจำกัดด้านการบินได้ จะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางไปประเทศไทยได้มากขึ้น
2. อยากให้ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดอีเว้นท์ขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น การแข่งขันกีฬา, คอนเสิร์ต ฯลฯ
3. Product Refreshment : อยากให้เน้นพัฒนาและปรับโฉมสินค้าบริการท่องเที่ยวของไทยให้มีความสดใหม่และทันสมัย สามารถดึงความสนใจจากนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่ม Millennials และ Luxury
4. อยากให้มีการทำ Marketing Communication หรือสื่อประชาสัมพันธ์ที่มุ่งสื่อสารและเจาะไปยังตลาดอินเดียโดยเฉพาะ


9

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"      ERGO แบรนด์ประกันภัยชั้นนำจากเยอรมัน...