วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ และมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้ 

มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ และมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 

พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

         มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 32 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 804,530 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) และนายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบรถเข็นวีลแชร์ แก่ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ ฝาง แม่วาง สันทราย ดอยเต่า หางดง สันป่าตอง เวียงแหง แม่อาย รวมจำนวน 14 คัน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568          รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวเชียงใหม่ในครั้งนี้ทั้งสิ้น 876,130 บาท (แปดแสนเจ็ดหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยมีประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ

       อีกทั้ง มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ณ มูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

          จากเหตุมหาอุทกภัยทางภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที โดยได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือถึง 2 ครั้ง หลังจากนั้น ทีมสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท รวมงบประมาณการฟื้นฟูหลังน้ำลดแก่ผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมากว่า 9 ล้านบาท

       โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมาได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด จำนวน 485 ครัวเรือน รวมดำเนินการไปแล้ว 3 ภาค รวม 54 จังหวัด 813 ครัวเรือน รวมงบประมาณกว่า 15.6 ล้านบาท


    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

“บขส.”พบปะหารือผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงราย เชื่อมโยงระบบการเดินทาง “บัตรเดียวเที่ยวทั่วไทย

“บขส.”พบปะหารือผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงราย

เชื่อมโยงระบบการเดินทาง “บัตรเดียวเที่ยวทั่วไทย

บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ “One Day One Night”


      นายชัชวาล พรอมรธรรม กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นายสถานีเดินรถในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือและเจ้าหน้าที่ บขส. ร่วมประชุมพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางธุรกิจการเดินรถชยส่งผู้โดยสารและพัสดุภัณฑ์เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย โดยมี นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฝ่ายการตลาดในประเทศ  และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ว่าที่ร.ต.เมฆา สิริชัยรุ่งเรือง นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย พร้อมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ที่ ห้องประชุมธาราริน โรงแรมแสนโฮเทล อ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568

         นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานฝ่ายการตลาดในประเทศ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ กล่าวว่า เรื่องของการขนส่งไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางน้ำ หรือทางบก ล้วนมีความสำคัญต่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเชียงรายกว่า 6 ล้านคนเมื่อปี 2567 เป็นลำดับที่ 2 ของภาคเหนือรองจากเชียงใหม่ แม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะมีมากกว่า 47,000 ล้านบาท ก็ยังถือว่าเชียงรายเป็นเมืองรองการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวร้อยละ 80 เป็นนักท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน ยุโรป อเมริกา เกาหลี และญี่ปุ่น ตามลำดับ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเฉลี่ย 18,000 บาท/คน นักท่องเที่ยวไทยเฉลี่ย 7,700 บาท/คน อัตราการเข้าพัก (LOS) อยู่ที่ 2.4 อัตราการขนส่งจำนวนกว่า 270 เที่ยว กว่า 238 รถบัส/สัปดาห์ ประกอบด้วย 7 บริษัทในเส้นทาง เชียงราย-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ และเส้นทางต่างๆในภูมิภาค กลยุทธในการกระตุ้นการท่องเที่ยวทางบก ได้แก่ โครงการ Chiangrai Happyness Place เป็นการท่องเที่ยวที่หลากหลายทางความสุข นักท่องเที่ยวเดินทางโดยขับรถมาเองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวเชียงรายส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจาหกภาคกลาง ภาคเหนือด้วยกัน ร้อยละ 87 เป็นนักท่องเที่ยว รอยละ 13 เป็นนักทัศนาจร และกลุ่มประชุมสัมมนา จุดดีงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนเชียงรายคือความหลากหลายทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธ์กว่า 35 ชาติพันธ์ สอ่งที่นักื้องเที่ยวให้ความสำคัญมากคือเรื่องความปลอดภัย ทั้งเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางและความปลอดภัยในทรัพย์สิน


         ด้าน นายชัชวาล พรอมรธรรม กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวว่า ทางบขส.ได้เสนอโครงการเพื่อกระตุ้นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและได้รับการอนุมัติแล้ว ซึ่งจะทำให้คนไทยเที่ยวกันได้ทั่วประเทศ โดยบขส.จะลงพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อหาพันธมิตรธุรกิจ วันนี้จึงเดินทางมาเพื่อรับทราบข้อมูลและพบปะพูดคุยเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการเป็นพันธมิตรธุรกิจเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชียงรายให้เติบโตขึ้น นอกจากนี้ยังมีโครงการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์ที่เป็นของดีของจังหวัดไปยังจังหวัดต่างๆด้วยระบบ One Day One Night ส่งวันนี้ถึงพรุ่งนี้ และ ทาง บขส.จะได้สำรวจเส้นทางเชื่อมเมืองใหม่ๆ เพื่อให้ระยะทางสั้นลงใกล้ขึ้น ทำอย่างไรให้คนทางใต้มาเที่ยวทางเหนือได้ คนทางเหนือไปเที่ยวทางใต้ได้ หรือไปทางอีสาน หรือไปทางตะวันออก


         ส่วน ว่าที่ร.ต.เมฆา สิริชัยรุ่งเรือง นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ขอให้ทางบขส.ชี้แจงให้ชัดเจนเรื่องของการเป็นพันธมิตรธุรกิจจะเป็นแบบร่วมลงทุนหรือลงทุนร่วม สิ่งหนึ่งที่ตนอยากเห็นคือบัตรโดยสารบัตรเที่ยวได้ทั่วไทย ให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่อง ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมน่าจะทำให้โครงการขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี และขอให้บขส.ต้องมีฐานข้อมูลของลูกค้าที่จะมาใช้บริการเพื่อเป็นฐานข้อมูลตรวจสอบหากมีเหตุที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของของจังหวัด

ภาพ...ศูนย์ข่าวเชียงรายทูเดย์




ททท. จัดโครงการ "Amazing Thailand Grand Sale 2025"

ททท. จัดโครงการ "Amazing Thailand Grand Sale 2025"

เสิร์ฟโปรโมชันและสิทธิพิเศษแบบ Grand Privilege 

และตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยเป็น Shopping Destination ระดับโลก


        กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เปิดตัวโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 โดยมี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธาน พร้อมด้วยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. และนายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. นายชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เทศไทย นายสุชีพ สุขสว่าง รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้บริหารภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมงานจำนวนมาก ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568


       โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025  จัดขึ้นเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็น Shopping Destination พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ผลักดัน Must Buy ภายใต้แนวคิด 5 Must Do in Thailand เพื่อส่งมอบความพิเศษ Grand Privilege เนื่องในปี ท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 


    นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศให้ปี 2025 เป็นปีจุดพลังการท่องเที่ยวสุดยิ่งใหญ่ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 นำเสนอผ่านแนวคิด 5 Grand เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 ที่ ททท. ได้จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งมอบความพิเศษแห่งการท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย Grand Privilege เป็นส่วนลดและสิทธิประโยชน์มากมายให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย นอกจากจะเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะการเป็น Shopping Destination แล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีในการผลักดัน Must Buy ภายใต้แนวคิด 5 Must Do in Thailand รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการฯ เพื่อสร้างความสุขและความประทับใจตลอดการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย 



      ด้าน นางสวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 เป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการขายในปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ที่ ททท. พร้อมมอบประสบการณ์เหนือระดับและสิทธิประโยชน์การท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวผ่านแคมเปญทางการตลาด (Grand Privilege) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2568 โดยได้ดำเนินร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกว่า 100 ราย อาทิ ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงแรมและที่พัก สภาและสมาคมด้านการท่องเที่ยว กรมท่าอากาศยาน เป็นต้น พร้อมมอบส่วนลด โปรโมชันและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ด้านสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นความต้องการในการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีการใช้จ่ายด้านการชอปปิงสูง อาทิ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศอาเซียน สร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้จ่าย (Spending) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมอบความพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการร่วมลุ้นโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่จะมาสร้าง Grand Moment ด้วยการพบปะ Celebrity เพื่อส่งมอบประสบการณ์ในการชอปปิงให้นักท่องเที่ยวได้ใช้จ่ายอย่างสนุกสนานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ททท. คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการกว่า 10,000 คน และ สร้างรายได้หมุนเวียนจากการจัดกิจกรรมกว่า 120 ล้านบาท 



         สำหรับโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 ในปีนี้ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ 

1) กิจกรรม Shop & Get กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายครบ 2,000 บาทต่อใบเสร็จในสถานประกอบการที่ร่วมโครงการฯ สามารถนำใบเสร็จมาลงทะเบียนบนเว็บไซต์ของโครงการฯ และนำมาแลกรับ Shopping Bag ได้ที่จุด Redemption ของแต่ละสถานประกอบการ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสะสมสิทธิ์ทุก ๆ การใช้จ่าย 2,000 บาทต่อใบเสร็จ (จำกัด 1 สิทธิ์ต่อ 1 ใบเสร็จ) เพื่อลุ้นรับแพ็กเกจด้านการท่องเที่ยวมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท จำนวน 20 รางวัล ในช่วงท้ายโครงการฯ 


2) กิจกรรม High Spender เป็นกิจกรรมที่ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมได้ โดยในด้านของนักท่องเที่ยวที่ร่วมกิจกรรม ซึ่งมียอดการใช้จ่ายในสถานประกอบการที่ร่วมโครงการฯ สูงสุด 10 อันดับ จะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในส่วนของสถานประกอบการ หากมียอดการขายในระดับที่กำหนด (ระดับ Gold, Silver และ Bronze) จะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณเช่นเดียวกัน 


3) กิจกรรม Meet & Greet  กิจกรรมสำหรับกลุ่มแฟนคลับเพื่อลุ้นไป Meet & Greet กับ Celebrity คนดัง “นุนิว ชวรินทร์” จำนวน 50 ท่าน ในวันที่ 24 สิงหาคม 2568 โดยสามารถสะสมสิทธิ์ร่วมกิจกรรมได้ผ่านการซื้อทุกๆ 2,000 บาทต่อใบเสร็จ (จำกัด 1 สิทธิ์ต่อ 1 ใบเสร็จ)



        นอกจากนี้ ททท. ยังจัดเต็มสิทธิพิเศษและส่วนลดมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกกดรับผ่านเว็บไซต์ของโครงการ www.tourismthailand.org/amazingthailandgrandsale ซึ่งสามารถกดรับสิทธิ์และนำ Code ไปใช้ที่สถานประกอบการได้ทันที โดยมีสถานประกอบการภายใต้โครงการฯ อาทิ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า เช่น สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์, กลุ่มเซ็นทรัล, เดอะมอลล์ กรุ๊ป, สยามพิวรรธน์, วัน แบงค็อก, ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์, ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ แอท งามวงศ์วาน, ศูนย์การค้า เมญ่า ไลฟสไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์, ศูนย์การค้าไดอาน่าคอมเพล็กซ์, ศูนย์การค้าจังซีลอน, เทอร์มินอล 21, เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์, บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำกัด, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน), เกทเวย์ เอกมัย, ลาซาล อเวนิว, โครงการ ฟีนิกซ์ ประตูน้ำ เป็นต้น บัตรเครดิต เช่น มาสเตอร์การ์ด, วีซ่า ประเทศไทย, ยูเนี่ยนเพย์ ชอปปิงแพลตฟอร์ม ได้แก่ บริษัท รีวอร์ดส์ พาร์ตเนอร์ จำกัด (ยูทู), อโกด้า, ลาซาด้า โรงแรม/ที่พัก/สปา ได้แก่ ฮอลิเดย์ สไตล์ อ่าวนาง บีชรีสอร์ท, เคป ดารา รีสอร์ท, ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21, โรงแรมเรสดีเทล หัวหิน, ซันแดนซ์ เดย์คลับ และเซนศาลา สปา เป็นต้น





        ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดโครงการฯ กิจกรรมและสิทธิพิเศษได้ที่เว็บไซต์ของโครงการ www.tourismthailand.org/amazingthailandgrandsale 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์ https://register.amazingthailandgrandsale.com/form ตั้งแต่วันนี้ - 10 มิถุนายน 2568 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE Official Account: @thailandgrandsale

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี จัดกิจกรรม "เสน่ห์ใกล้กรุง" เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว

กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล 

จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี 

จัดกิจกรรม "เสน่ห์ใกล้กรุง" 

เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว



        สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดปทุมธานี และ กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ  ร่วมกันจัดโครงการ "เสน่ห์ใกล้กรุง" กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ถือเป็นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางไปสัมผัสเพื่อค้นหาความแตกต่างทางวัฒนธรรม วิถีชุมชนแต่ละพื้นที่ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างประสบการณ์ร่วมและรับรู้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมา ผ่านโบราณสถาน สถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางศาสนา และประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการแสดงพื้นบ้าน ศิลปะประเพณี และอาหารท้องถิ่น ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ซึ่งแต่ละจังหวัดถือว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ล้วนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยทั้งสิ้น



         กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล อันประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนายกระดับการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม และให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด และกระจายรายได้สู่ชุมชน อันนำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ



       โครงการ "เสน่ห์ใกล้กรุง" ในครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยว และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ทั้งจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมีการจัดกิจกรรม Press Tour และ Fam Trip นำผู้ประกอบด้านการท่องเที่ยว และสื่อมวลชนร่วมลงพื้นที่ชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล จำนวน 4 ครั้ง เป็น One Day trip ดังนี้

ครั้งที่ 1 พื้นที่จังหวัดปทุมธานี ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568

ครั้งที่ 2 พื้นที่จังหวัดนครปฐม ในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568

ครั้งที่ 3 พื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2568

และครั้งที่ 4 พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2568



           ทริปนี้เป็นทริปที่ 4 พื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยมี คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ฝ่ายตลาดในประเทศ กล่าวต้อนรับ และร่วมร่วมเดินทาง พร้อมด้วย นายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ประธานภาคีท่องเที่ยวไทย นำสมาชิกภาคีท่องเที่ยวไทย สมาชิกสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) และผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งสื่อมวลชน กว่า 50 ราย



            เริ่มจาก "วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร" สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2392 ตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นตรงที่เป็นนิวาสสถานเดิมของพระยานนทบุรีศรีมหาอุทยาน (บุญจัน) อดีตเจ้าเมืองนนทบุรี กับคุณหญิงเพ็ง ผู้เป็นพระอัยกา (ตา) และพระอัยยิกา (ยาย) ของพระองค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  (รัชกาลที่ 2) ผู้เป็นพระราชมารดา โดยพระราชทานนามว่า "วัดเฉลิมพระเกียรติ" แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเนื่องจากพระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน จนมาแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)




          โดยคณะเราได้กราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และวัดนี้ก็ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2536 จากสมาคมสถาปนิกสยาม เพราะสถาปัตยกรรมในวัดนั้นมีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้ง พระอุโบสถ ที่เป็นศิลปะงดงาม แบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ มีศิลปะจากจีนมาผสมนั่นเอง คณะของเราก็ได้เข้าไปกราบสักการะ "พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา" พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 6 ศอก สูง 8 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว ที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้หล่อพระพุทธรูปด้วยทองแดงขึ้น และกราบนมัสการ พระธรรมวชิรปัญญาภรณ์ (ละเอียด กิตฺติสุขุโม) เจ้าอาวาส พร้อมรับน้ำพระพุทธมนต์ รับศีลรับพร เพื่อเป็นสิริมงคล  นอกจากนี้ บานประตู บานหน้าต่างพระอุโบสถ เขียนลายรดน้ำปิดทอง ตราพระราชลัญจกรของรัชกาลที่ 3 และรูปกระต่ายภายในวงพระจันทร์เต็มดวง และในวิหารหลวงยังประดิษฐานพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ส่วนวิหารขาว ประดิษฐาน พระศิลาขาว พระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูง 33 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2401 พร้อมพระอัครสาวก 2 องค์ สูง 13 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปศิลา นอกจากนี้ภายในวัดยังมี พระเจดีย์ขาว เจดีย์ทรงลังกา ฐานแปดเหลี่ยมสองชั้น ความสูงขนาด 45 เมตร ประดิษฐานพระบรมธาตุไว้ภายใน และยังมีกำแพงแก้วล้อมรอบพระอุโบสถที่ทำเป็นกำแพงป้อมค่ายแห่งเดียวในประเทศไทย


             จากนั้นคณเราก็เดินทางไปวัดสนามเหนือ เพื่อขึ้นเรือโดยสารข้ามฟากไปยังเกาะเกร็ด เพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ ครัวคุณนิต เกาะเกร็ด จากนั้นคณะเราเดินทางไปที่ "วัดเสาธงทอง" ที่สร้างขึ้นโดยชาวมอญที่เข้ามาอาศัยอยู่ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า "วัดสวนหมาก" ต่อมาวัดนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "วัดเสาธงทอง" ในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ศิลปะสมัยอยุธยา ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ย่อมุมสิบสองอยู่หลังโบสถ์ เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในเขตอำเภอปากเกร็ด และมีเจดีย์องค์เล็กเป็นเจดีย์บริวารโดยรอบอีก 2 ชั้น ด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์องค์ใหญ่อีก 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลมสูง อีกองค์หนึ่งมีรูปแปลกมีฐานเหลี่ยม พร้อมกราบสักการะขอพร พี่จุก ศาลสองกุมาร ใต้ต้นยางใหญ่ 200 ปี ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ขอโชคขอลาภอะไรก็ได้สมดังความปรารถนา จนมีคนเอาน้ำแดงมาถวายเป็นประจำ




          จากนั้นเดินทางไป "วัดไผ่ล้อม" สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมากองทัพพม่าเข้ายึดเมืองนนทบุรี ทำให้พระสงฆ์หนีภัยสงคราม กลายเป็นวัดร้าง ต่อมาสมัยกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2317 ชาวมอญหรือชาวรามัญเข้ามาตั้งบ้านเรือนได้ร่วมกันบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2446 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาที่นี่คณะเราก็ไม่พลาดที่จะกราบสักการะองค์พระอุปคุตที่แกะสลักด้วยไม้ทั้งองค์ รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระประธาน ที่มีพุทธลักษณะงดงามในพระอุโบสถ ระหว่างทางเดินบนเกาะเกร็ด คณะเราก็เดินชมวิถีชุมชนเกาะเกร็ด เที่ยวชมตลาด ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น แวะทานกาแฟ เครื่องดื่ม อาหารว่าง ที่บ้านขาวคาเฟ่ต์ The White Space




        แล้วเดินทางต่อกันที่ "วัดปรมัยยิกาวาส" เป็นวัดโบราณที่น่าจะสร้างหลังจากสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระโปรดให้ขุดคลอง เมื่อ พ.ศ. 2264 ชาวเรือเรียก วัดปากอ่าว จนปี พ.ศ. 2307 พม่าบุกยึดเมืองนนทบุรี กลายเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2317 ชาวมอญที่อพยพมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดกฐินวัดมอญ ทรงเห็นว่าวัดปากอ่าวทรุดโทรมมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดใหม่ทั้งวัดโดยรักษารูปแบบมอญไว้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สนองพระคุณสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ผู้ทรงอภิบาลพระองค์มาแต่ทรงพระเยาว์ และได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดปรมัยยิกาวาส" มีความหมายว่า "วัดของพระบรมอัยยิกา" ด้านหลังพระอุโบสถมีพระเจดีย์รูปทรงแบบมอญซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราช ดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระมหารามัญเจดีย์นี้ เมื่อปี พ.ศ. 2427




และที่พลาดไม่ได้นั่นก็คือ "พระเจดีย์มุเตา" หรือ "เจดียเอียง" สถานที่เป็นไฮไลท์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ที่สร้างขึ้นโดยชาวมอญที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารปลายกรุงศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ทรงรามัญสีขาว ก่ออิฐถือปูน ฐานแปดเหลี่ยมย่อมุม ยอดเจดีย์มีฉัตรทรงเครื่อง 5 ชั้น อย่างมอญ สูง 1 วา ตั้งอยู่หัวมุมเกาะเกร็ด ภายในบรรจุพระธาตุเป็นที่เคารพสักการะ ของชาวไทยเชื้อสายมอญ เดิมเป็นเจดีย์สร้างตั้งตรง ต่อมาน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงทำให้เจดีย์ทรุดตัวและเอียงลงเมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2434  ที่นี่คณะของเราชมการสาธิตการทำขนมไทย เช่น ผกากรอง ทองเอก ขนมหันตรา การทำข้าวแช่ พร้อมชมการแสดงรำมะเทิ่ง เม้ยเจิง และชมการแสดงทะแยมอญ




        หมดทริปบนเกาะเกร็ด คณะเราก็ลงเรือกลับมาที่วัดสนามเหนือ แล้วเดินทางสู่ "วัดกู้" (พระนางเรือล่ม) วัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี หรือ สมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือประมาณปี พ.ศ. 2295 เมื่อไปถึงคณะเราก็เข้าไปยังวิหารหลังใหม่ กราบสักการะขอพร "หลวงพ่อสำเร็จ" พระประธานที่ประดิษฐานภายใน พร้อมกราบนมัสการ พระครูวิมลสุวรรณกร (สมพงษ์ จนฺทวโร ป.ธ.3) เจ้าอาวาสวัดกู้  จากนั้นคณะเราก็กราบสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ขนาด 33 เมตร และกราบหุ่นขี้ผึ้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ด้านข้างวิหารนั้นก็จะเป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่อับปางที่อับปาง และที่วัดนี้ยังมี ศาลพระนางเรือล่ม ซึ่งจำลองแบบมาจากศาลาจตุรมุขของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอิน รวมถึงพระตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานอีกด้วย ปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารมื้อค่ำ ก่อนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนซอยสุคันธาราม 23 กรุงเทพฯ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค  บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนซอยสุคันธาราม 23 กรุงเทพฯ       มูลนิธิป่อเต็กต...